วัดพระสิงห์ เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ เป็นวัดที่มีความเก่าแก่ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้ามหาพรหม ผู้เป็นพระอนุชาของพระเจ้ากือนากษัตริย์เชียงใหม่ พระเจ้ามหาพรหมได้มาครองเมืองเชียงรายระหว่างปี พ.ศ. 1888-1943 ได้สร้างวัดแห่งนี้ขึ้นเมื่อในปี พ.ศ. 1928 ต่อมาได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาจากเมืองเชียงใหม่และได้ประดิษฐานอยู่ที่วัดนี้เป็นเวลา 20 วัดนี้จึงมีชื่อเรียกสืบต่อกันมาว่าวัดพระสิงห์ ครั้นเมื่อพระเจ้ากือนากษัตริย์เมืองเชียงใหม่สวรรคต พระเจ้าแสนเมืองมาได้ขึ้นครองเมืองเชียงใหม่แทน พระเจ้ามหาพรมจึงยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่แต่ไม่สำเร็จ พระเจ้าแสนเมืองมาจึงได้ยกทัพกลับมาตีเมืองเชียงรายได้ และได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์กลับสู่เชียงใหม่โดยตังประดิษฐ์ไว้ที่วัดพระสิงค์จังหวัดเชียงใหม่จนถึงปัจจุบัน
ส่วนพระเจ้าแสนเมืองมาก็ต้องหนีมาอาศัยอยู่ที่เมืองกำแพงเพชร
วัดพระแก้ว
วัดพระแก้ว เป็นจุดที่ค้นพบพระแก้วมรกต และเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตเป็นเวลา 45 ปี ก่อนที่จะเอิญไปยังเชียงใหม่ วันนี้แต่เดิมวัดนี้มีชื่อว่าวัดป่าเยี้ย หลังพระอุโบสถมีเจดีย์อยู่องค์หนึ่งซึ่งได้พังลงมาแล้วได้พบพระพุทธรูปลงรักปิดทององค์หนึ่งตกลงมาจากเจดีย์จึงได้อัญเชิญไปไว้วิหารหลวงได้ 2 เดือน ต่อมาปูนกระเทาะออกจึงเห็นเป็นแก้วสีเขียวทั้งองค์ หลังจากนั้นวัดนี้จึงเรียกสืบต่อกันมาว่า วัดพระแก้ว ปัจจุบันเจดีย์องค์ดังกล่าวได้รับการบูรณะใหม่เป็นเจดีย์หุ้มทองจังโก๋เหลืองอร่ามทั้งองค์
พระอุโบสถในวัดพระแก้วมีความงดงามมาก ในปัจจุบันเป็นที่ประดิษฐานของพระประธาน คนเชียงรายเรียกกันว่า พระเจ้าล้านทอง เป็นพระศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวเชียงรายเคารพนับถือเป็นอันมาก แต่เดิมนั้นประดิษฐานอยู่ที่วัดพระเจ้าล้านทอง ต่อมามีสภาพเป็นวัดร้างจึงได้อัญเชิญมาประดิษฐานที่วัดดอยงำเมือง และได้อัญเชิญมาประดิษฐานเป็นพระประธานที่วัดพระแก้วเมื่อปี 2504
พระแก้วหยก เป็นพระพุทธรูปหยกที่คณะสงฆ์และพุทธศาสนิกชนชาวเชียงรายร่วมกันสร้างขึ้นเนื่องในวโรกาสที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีมีพระชนมายุครบ 90 พรรษา เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 2533 โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประกอบพิธีพุทธาภิเษก ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ 20 ก.ย. พ.ศ. 2534 ชาวเชียงรายได้อัญเชิญมาประดิษฐานหอพระ ณ วัดพระแก้ว เรียกว่า พระหยกเชียงราย
วัดร่องขุ่น
ตั้งอยู่ที่บ้านร่องขุ่น ประมาณหลังกิโลเมตรที่ 817 บนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 อันที่เป็นเส้นทางสายหลักสู่เชียงราย ทางเข้าวัดบริเวณทางแยกซ้ายเข้าไปประมาณ 200 เมตร เดิมทีวัดนี้มีอยู่แล้วแต่ก็ได้รับบูรณะใหม่โดยอาจารย์ เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ โดยได้สร้างพระอุโบสถหลังใหม่เป็นพระอุโบสถสีขาวคล้ายกับโบสถ์ขาวต้นแบบที่วัดมิ่งเมือง จ. น่าน ซึ่งออกแบบสร้างตามจินตนาการของท่านเจ้าอาวาส และผลงานลวดลายปูนปั้นโดย สล่าเสาร์แก้ว เลาดี ช่างพื้นบ้านเมืองน่าน สกุลช่างเชียงแสนโบราณ สำหรับพระอุโบสถวัดร่องขุ่นเป็นโบสถ์สีขาวทั้งหลังสร้างด้วยศิลปะตามจินตนาการของอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ช่วยกันสร้างโดยลูกศิษย์ฝีมือดีของอาจารย์ ศิลปะมีความปราณีตสวยงาม บนลวดลายปูนปั้นถูกประดับประดาไปด้วยกระจกสีเงินแวววาว เมื่อโบสถ์ต้องแสงอาทิตย์จะมีประกายระยิบระยับงดงามมาก ภายในพระอุโบสถมีภาพเขียนผาผนังฝีมือของอาจารย์เฉลิมชัย โบสถ์ขาวหลังนี้เริ่มก่อสร้างเมื่อ พ.ศ. 2541 ตัวโบสถ์เสร็จสมบูรณ์ เหลือแต่การตกแต่งภายนอก
พระตำหนักดอยตุง
เป็นที่ประทับแปรพระราชฐานเพื่อทรงงานของสมเด็จย่า มีพิธีลงเสาเอกเมื่อ 23 ธันวาคม 2530 ปลูกแบบง่ายๆ ด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ พระตำหนักสร้างด้วยไม้ทั้งหลังโดยมีโครงเหล็กอยู่ภายใน ไม้ในการสร้างเป็นไม้ลังใส่สินค้าที่การท่าเรือฯ คลองเตย ทูลเกล้าถวายแด่สมเด็จย่า เมื่อสร้างออกมาแล้วสวยงามยิ่งนัก รูปแบบการสร้างเป็นการผสมผสานสถาปัตยกรรมล้านนากับบ้านพื้นเมืองสวิตเซอร์แลนด์ ที่เพดานห้องโถงทำเป็นเพดานดาว บริเวณด้านหลังพระตำหนักมีระเบียงยืนออกไป เมื่อยืนที่ระเบียงจะเห็นทัศนียภาพของดอยตุงที่สวยงาม บริเวณขอบระเบียงมีกระบะปลูกไม้ดอกที่มีสีสันสวยงาม พระตำหนักเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม โดยจะต้องมีมัคคุเทศก์ของพระตำหนักเป็นผู้นำเยี่ยมชม
สวนแม่ฟ้าหลวง
สวนแม่ฟ้าหลวง หรือสวนดอยตุง เป็นสวนไม้ดอกไม้ประดับเมืองหนาวบนพื้นที่ 25 ไร่ อยู่ในแอ่งที่ราบด้านทิศเหนือของพระตำหนัก สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2534 ภายในสวนถูกตกแต่งด้วยพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับสวยงาม ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนออกดอกตลอดปี กลางสวนมีประติมากรรมเด็กยืนต่อตัว งานประติมากรรมนี้ได้รับพระราชทานชื่อว่า " ความต่อเนื่อง " นอกจากแปลงไม้ประทับกลางแจ้งแล้วยังมีโรงเรือนไม้ในร่ม จุดเด่นคือกล้วยไม้จำพวกรองเท้านารีชนิดต่างๆ ที่มีดอกสวยงามมาก ความภาพความสวยงามของสวนแม่ฟ้าหลวง